2015.03.03 17:35
พินดา พิสิฐบุตร
“ท่านอัยการสูงสุด จอร์จ แบรนดิซ อยากรู้อยากเห็นเอามากๆ เขาอยากรู้ว่าเรากำลังทำอะไรบนโทรศัพท์และบนโลกออนไลน์
ทั้งอีเมล เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ การโทรศัพท์ ข้อความ สไกป์ เพื่อน ครอบครัว เรื่องการเมือง ทั้งหมดนี่เลย!
เราชอบ “จอร์จ ผู้อยากรู้อยากเห็น” เขาเป็นลิงน้อยที่ฉลาดทีเดียว แต่จริงๆ เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องทางเทคนิคสักเท่าไหร่ มาช่วยเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นอันไม่มีที่สิ้นสุดของจอร์จกัน สิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงแค่ส่งสำเนา (cc) อีเมลทุกฉบับของคุณไปที่ senator.brandis@aph.gov.au ง่ายอะไรอย่างนี้!
จอร์จ ผู้อยากรู้อยากเห็น นายช่างเป็นลิงน้อยที่น่ารักเสียจริง ฉันจะไม่เชื่อใจนายได้อย่างไรกัน ฉันยินดีที่จะส่งสำเนาอีเมลไปให้เพื่อจะเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นอันไม่มีที่สิ้นสุดของนาย ขอให้สนุกนะ xxx”
ข้อความดังกล่าวอยู่บนเพจรณรงค์ที่ชื่อ “Curious George”
ข้อความบนเพจนี้มีเนื้อหาเชิญชวนให้ชาวออสเตรเลียที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายเก็บบันทึกข้อมูล (data retention) ซึ่งจะบังคับให้บริษัทโทรคมนาคมขยายเวลาการเก็บข้อมูลการสื่อสารหรือเมทาดาตา (metadata) ทั้งบนโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตของชาวออสเตรเลียให้นานขึ้นเป็น 2 ปี ร่วมกันส่งสำเนาอีเมล (cc) ทุกฉบับของตนไปยังอีเมลของจอร์จ แบรนดิซ อัยการสูงสุดของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ที่สนับสนุนกฎหมายนี้
และเนื่องจากอีเมลของนายแบรนดิซเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น iMessage ในไอโฟน นั่นแปลว่า ข้อความอีเมลจำนวนมหาศาลจะหลั่งไหลไปยังกล่องข้อความใน iMessage ของนายแบรนดิซด้วย
วิธีการดังกล่าวอยู่ในรณรงค์ที่ชื่อ “จอร์จ ผู้อยากรู้อยากเห็น” (Curious George) ซึ่งริเริ่มโดยกลุ่มนักกิจกรรมชื่อ Beyond Green ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายเพื่อผลักดันนโยบายสาธารณะด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ในออสเตรเลีย การรณรงค์ดังกล่าวเปรียบเทียบจอร์จ แบรนดิซ ว่าเหมือนกับตัวละครลิง “Curious George” ในหนังสือสำหรับเด็กในชื่อเดียวกัน โดยระบุว่า การผลักดันการออกกฎหมายเก็บข้อมูลการสื่อสารของประชาชน แสดงให้เห็นว่า จอร์จ แบรนดิซ อยากรู้อยากเห็นไม่แพ้เจ้าลิง Curious George เลยทีเดียว
ทางกลุ่มจึงเห็นว่า ในเมื่อนายแบรนดิซอยากได้ข้อมูลการสื่อสารของประชาชนเสียขนาดนี้ ชาวออสเตรเลียก็น่าจะช่วยเหลือนายแบรนดิซด้วยการกระหน่ำส่งข้อมูลอีเมลของตนไปยังอีเมลของนายแบรนดิซเลยดีกว่า
ข้อความหนึ่งที่ส่งไปยังอีเมลของนายแบรนดิซมีใจความว่า ขอดูข้อมูลเมทาดาตาหน่อยได้ไหม “ในเมื่อคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวนี่”
ส่วนนักข่าวนามลอเร็น อินแกรม ถึงขนาดส่งบทแรกของนวนิยาย “1984” ทั้งบท ซึ่งเขียนโดยจอร์จ ออร์เวล ไปให้นายแบรนดิซ นิยายเรื่องดังกล่าวพูดถึงประเทศสมมติที่รัฐบาลสอดแนมพลเมืองของตนอยู่ทุกที่ทุกเวลา น่าเสียดายว่า อินแกรมคงไม่สามารถส่งบทที่ 2 ของนวนิยายไปยังนายแบรนดิซได้ เพราะว่าหลังจากที่ iMessage ของนายแบรนดิซถูกโจมตีไม่นาน เขาก็รู้ตัวและปิดการเชื่อมต่อระหว่างอีเมลของตัวเองกับ iMessage ไปแล้ว
เมื่อมีคำถามว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามหรือไม่ เบน เพนนิงส์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม Beyond Green กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการคุกคามชาวออสเตรเลียด้วยการสอดแนมของรัฐบาล
ทางกลุ่มระบุว่า ไม่เพียงแต่กฎหมายนี้จะเข้ามารุกล้ำความเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดต้นทุนมหาศาลด้วย ประมาณการว่า โครงการเก็บบันทึกข้อมูลการสื่อสารนี้จะมีต้นทุนราว 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือเทียบเป็นเงินไทยประมาณ 12,940 ล้านบาท ซึ่งการประมาณการดังกล่าวอยู่ในรายงานว่าด้วยการเก็บบันทึกข้อมูลที่รัฐบาลเปิดเผยออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ ต้นทุนดังกล่าวยังไม่รวมต้นทุนในการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงจากภายนอก
นักการเมืองที่สนับสนุนกฎหมายเก็บบันทึกข้อมูลให้เหตุผลว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับอาชญากร
ทว่าก็มีข้อโต้แย้งเหตุผลข้างต้น เว็บไซต์ citizensnotsuspects (ประชาชนไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย) ให้เหตุผลแย้งว่า แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าข้อมูลการสื่อสารดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรับมือกับผู้ก่อการร้ายและอาชญากร แต่ก็มีหลักฐานน้อยมากที่มาสนับสนุนคำกล่าวอ้างนี้ อีกทั้งตอนนี้หน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลียก็มีเครื่องมือในการเข้าถึงข้อมูลของบุคคลต้องสงสัยอยู่แล้ว ซึ่งเรียกว่า ‘data preservation notice’ ที่บังคับให้ต้องมีการเก็บบันทึกข้อมูลการสื่อสารของบุคคลต้องสงสัย ดังนั้น จึงมีคำถามว่า มันชอบธรรมแล้วหรือที่จะมาสอดแนมพลเมืองทั้งประเทศ
กฎหมายดังกล่าวยังขัดกับกฎหมายในยุโรป ที่ซึ่งศาลได้มีคำตัดสินออกมาว่า การทำประหนึ่งว่าคนทุกคนเป็นผู้ต้องสงสัย เป็นการกระทำที่ไม่ได้ส่วน (disproportionate) ต่อความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคงของชาติ
ทางด้านนายแบรนดิซ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอบีซีในประเด็นนี้ และได้ร้องขอให้ประชาชนชาวออสเตรเลียได้โปรด “เชื่อใจ” รัฐบาลด้วย
ดูโลก แล้วย้อนดูตัว
ระหว่างที่ออสเตรเลียกำลังถกเถียงกันถึงกฎหมายเก็บบันทึกข้อมูลการสื่อสาร ประเทศไทยเราก็ไม่ได้ตื่นเต้นไป เพราะเรามีกฎหมายที่บังคับให้ผู้ให้บริการต้องเก็บข้อมูลการสื่อสารมานานแล้ว โดย “ข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์” (traffic data) ของเราจะถูกเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน แต่ในกรณีจำเป็น ข้อมูลก็อาจถูกจัดเก็บนานไปอีกจนถึงสูงสุด 1 ปี ตามที่ระบุในพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ส่วนร่างแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ก็จะขยายระยะเวลาการเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ออกไปอีกเป็นสูงสุด 2 ปี
นอกจากข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ (traffic data) แล้ว เรายังถูกเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราเอง “เท่าที่จำเป็น” เพื่อให้สามารถระบุตัวเราซึ่งเป็นผู้ใช้บริการได้ (personally identifiable information) นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการ และเมื่อเลิกใช้บริการแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราก็จะยังถูกเก็บต่อไปอีกอย่างน้อย 90 วัน
ยิ่งไปกว่านั้น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ยังดูเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย เมื่อเจอกับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีมาแล้วเช่นกัน เนื่องจาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ บังคับให้เก็บแต่ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา แต่ พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์ฯ อนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลการสื่อสาร “ทุกอย่าง” รวมไปถึงข้อมูลที่เป็นเนื้อหาด้วย (ทำเอากฎหมายเก็บบันทึกข้อมูลของออสเตรเลียดูจืดสนิท) ซึ่งก็แปลว่า นอกจากเจ้าหน้าที่จะรู้ได้ว่า เราส่งข้อความ อีเมล หรือโทรศัพท์หาใคร เวลาไหน ตามร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ฯ เจ้าหน้าที่ยังจะรู้ได้ด้วยว่า ข้อความที่ส่งคือข้อความอะไร
และคล้ายๆ กับนายแบรนดิซ ผู้สนับสนุนกฎหมายสองฉบับนี้ของไทยก็ได้ออกมากล่าวว่า แม้ทางการจะสามารถเข้าถึงข้อมูลการสื่อสารของประชาชนชาวไทยได้ แต่อย่างไรเสียก็ขอให้คนไทยโปรด “เชื่อใจ” รัฐบาลไทยด้วย
มันฟังดูคล้ายๆ คุ้นๆ ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง เท่านั้นแหละ
อ้างอิง
- People Are CCing George Brandis Into All Their Emails Because Data Retention Means He’ll Read Them Anyway
- Beyond Green launches campaign to have Australian public cc George Brandis in all their e-mails
- We are all suspects now thanks to Australia’s data retention plans