บางครั้งบางที เราก็อาจจะพบว่า อินเทอร์เน็ตที่เราใช้อยู่ที่บ้าน มันไม่ค่อยเสถียรเอาซะเลย เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ ความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง (จากหลายอย่าง) ก็คือ DNS ที่เรากำลังใช้อยู่ มีปัญหา
ทางแก้อย่างหนึ่งก็คือ ไปใช้ DNS ที่มันเสถียรกว่าและเร็วกว่า โดยปัจจุบันมีผู้ให้บริการ DNS ฟรีหลายเจ้า เช่น Google Public DNS, OpenDNS, Norton DNS, และ Recursive DNS สามารถเลือกใช้ได้ตามสะดวก หรือจะใช้ร่วมกันก็ได้
DNS ย่อมาจาก Domain Name System หรือระบบการตั้งชื่อโดเมน มันทำหน้าที่คล้าย ๆ สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต
เมื่อเทียบการจำชื่อกับการจำหมายเลขโทรศัพท์แล้ว การจำชื่อจะง่ายกว่า ในลักษณะเดียวกัน เราจำชื่อเว็บไซต์ (เช่น wikipedia.org) ได้สะดวกกว่าจำหมายเลขไอพี (ตัวเลข 4 ชุด เช่น 208.80.152.2) เพื่อที่จะให้ใช้เน็ตได้สะดวก ๆ DNS จะช่วยให้เราไม่ต้องจำหมายเลขพวกนั้น จำแค่ชื่อเว็บไซต์ก็พอ โดยเบราว์เซอร์จะไปถาม DNS ให้เอง ว่าชื่อนี้ หมายเลขอะไร
เช่น พอเราพิมพ์ที่อยู่ของวิกิพีเดีย wikipedia.org ลงไปในเว็บเบราว์เซอร์, เบราว์เซอร์ก็จะไปถาม DNS ว่า “เฮ้ นาย หมายเลขที่อยู่ของ wikipedia.org เนี่ย มันคือหมายเลขอะไรเหรอ?”, DNS ก็จะตอบกลับมาว่า “ก็ 208.80.152.2 ไงล่ะ”, จากนั้นเบราว์เซอร์ก็จะติดต่อไปยังหมายเลขดังกล่าว เพื่อโหลดหน้าเว็บของวิกิพีเดียมาให้เรา
ด้วยเหตุนี้ DNS จึงมีความสำคัญสำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตมาก ถ้า DNS ช้าหรือทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง การใช้อินเทอร์เน็ตของเราก็จะติด ๆ ขัด ๆ หรือถ้าเกิดว่า DNS ที่เราใช้ มีเจตนาไม่ดี แกล้งบอกหมายเลขให้เราผิด ๆ ให้เราไปเข้าเว็บไซต์ที่สามารถทำอันตรายคอมพิวเตอร์เราได้ เช่นปล่อยไวรัส หรือพาเราไปเข้าเว็บไซต์ที่ทำหน้าทำตาให้คล้ายกับเว็บที่เราใช้ประจำ เพื่อหลอกเอารหัสผ่านและข้อมูลส่วนตัวของเรา อันนี้ก็น่ากลัว และเคยเกิดขึ้นมาแล้ว (บางครั้ง DNS ที่เราเคยใช้อยู่ดี ๆ ก็อาจจะกลายเป็นตัวร้ายขึ้นมาได้ เมื่อโดนผู้ไม่ประสงค์ดีโจมตีเข้าไปแก้ข้อมูลใน “สมุดโทรศัพท์” ให้เป็นข้อมูลผิด ๆ การโจมตีทาง DNS นั้นมีหลายประเภท เช่น DNS hijacking และ DNS cache poisoning
ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคน ตั้งค่า DNS ให้ใช้ DNS server ที่เราเชื่อใจได้ ตัวอย่างเช่น Google Public DNS, OpenDNS, ฯลฯ ดังที่บอกไปข้างต้นแล้ว หรืออาจจะเป็น DNS ที่เราดูแลเองหรือเชื่อใจคนดูแลก็ได้ (และเชื่อมั่นว่า มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเพียงพอ ที่จะป้องกันการโจมตีเพื่อเปลี่ยนข้อมูล)
โดยปกติ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จะตั้งค่าให้เราใช้งาน DNS ของเขาอยู่แล้ว โดยอัตโนมัติ แต่เราก็สามารถเปลี่ยนได้ ถ้าต้องการ
การตั้งค่า DNS นั้นไม่ยาก และสามารถตั้งที่ตัวเราเตอร์ wifi ก็ได้ เพื่อความสะดวกของคนที่ใช้ wifi จากเราเตอร์นั้น ๆ ไม่ต้องตั้งค่าเอง โดยเราอาจปรึกษาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ดูแลระบบเครือข่ายในบริษัท หรืออาจจะเป็นเพื่อน ๆ เราที่เคยตั้งดูก็ได้
วิธีคร่าว ๆ คือ
สำหรับผู้ใช้ Windows 7: ให้ไปที่ Control Panel -> Network and Internet -> Network and Sharing Center -> Change adapter settings จากนั้นเลือกว่าจะเปลี่ยน DNS สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายอันไหน (เช่น LAN หรือ Wireless) จากนั้นกดปุ่ม “Properties” แล้วเลือก Networking -> Internet Protocol Version 4 -> Properties -> Advanced แล้วเลือกแท็บ DNS เพื่อแก้
สำหรับผู้ใช้ Mac OS X: จากเมนู Apple มุมซ้ายบน เลือก System Preferences -> Network จากนั้นที่ด้านซ้าย เลือกการเชื่อมต่อ แล้วกดปุ่ม “Advanced..” เลือกแท็บ DNS เพื่อแก้
สำหรับผู้ใช้ Ubuntu Linux: จากเมนู System เลือก Preferences -> Network Connections จากนั้นเลือกการเชื่อมต่อ (เช่น Wired หรือ Wireless) ตากนั้นกดปุ่ม “Edit” แล้วเลือกแท็บ IPv4 Settings แล้วแก้ DNS ในช่อง DNS servers
หมายเลขไอพีของ DNS server ที่เลือกใช้ได้ ส่วนหนึ่งมีดังนี้:
- Google Public DNS: 8.8.8.8 และ 8.8.4.4
- Norton DNS: 198.153.192.1 และ 198.153.194.1 (มีบริการให้เลือกหลายแบบ)
- OpenDNS: 208.67.222.222 และ 208.67.220.220 (มีบริการให้เลือกหลายแบบ)
- DNS Advantage: 156.154.70.1 และ 156.154.71.1
เลือกใช้ได้ตามสะดวก หรือจะใช้ร่วมกันก็ได้ (เราสามารถกำหนด DNS server หลาย ๆ ตัว ไว้ในรายการได้ เผื่อตัวแรกเสีย คอมมันก็จะไปใช้ตัวที่สอง สาม สี่ ไล่ไปตามลำดับ)
บางครั้ง DNS ก็ถูกใช้เพื่อการบล็อคเว็บไซต์ได้ด้วย โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการ DNS อาจตั้งค่าให้ DNS ปฏิเสธการร้องขอที่อยู่ของเว็บไซต์ “ที่ไม่พึงประสงค์” (เช่น เว็บไซต์ที่ปล่อยไวรัส เว็บไซต์ที่หลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคลไปหาประโยชน์ เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาต่อต้านรัฐบาล หรือเว็บไซต์อะไรก็ตามที่ผู้ควบคุม DNS เห็นว่าเขาไม่อยากให้เราดู)
ดังนั้น ก่อนเลือกใช้ DNS เจ้าไหนจึงควรศึกษาดูก่อน ว่า DNS เจ้านั้นทำอะไรบ้าง มีอันไหนที่เราชอบหรือมีอันไหนที่เกินหน้าที่ที่เราอยากให้ทำไหม
หากพบว่าเราเข้าเว็บไซต์ที่ต้องการบางแห่งไม่ได้ บางทีการเปลี่ยนไปใช้ DNS ของเจ้าอื่น ก็อาจช่วยได้เช่นกัน เช่นในประเทศไทย เคยพบกรณีที่ใช้ DNS ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบางที่แล้วดูเว็บไซต์หรือคลิปบางคลิปไม่ได้ แต่พอเปลี่ยนไปใช้ DNS ของต่างประเทศ ก็สามารถเข้าดูได้ เป็นต้น
ทำเครื่องเราเสร็จแล้ว ลองไปช่วยเพื่อนทำด้วย (ถามเขาก่อนนะ)
—-
เรื่องที่เกี่ยวข้อง: