2016.06.16 23:35
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ต้นฉบับภาษาไทยและฉบับแปลภาษาอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการ (แก้ไขและปรับปรุงจากฉบับแปลโดยคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ)
Computer-related Crime Act B.E 2550 (2007) Original Thai version and its unofficial English translation (based on this translation by Campaign for Popular Media Reform, with some edits and corrections)
ภาษาไทย (Thai) | ภาษาอังกฤษ (English) | หมายเหุต (Notes) |
---|---|---|
มาตรา 1
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550” |
Section 1.
This Act shall be called the “Computer-related Crime Act B.E 2550 (2007)”. |
|
มาตรา 2
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป |
Section 2.
This Act will come into force 30 days following the date of its publication in the Government Gazette. |
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 / ตอนที่ 27 ก / หน้า 4 / 18 มิถุนายน 2550 Published in Government Gazette on 18 June 2007 |
มาตรา 3
ในพระราชบัญญัตินี้ |
Section 3.
In this Act, |
|
มาตรา 4
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ |
Section 4.
The Minister of Information and Communications Technology shall have responsibility and control for the execution of this Act and shall have the authority to issue a Ministerial Rule for the purpose of the execution of this Act. A Ministerial Regulation shall be enforceable upon its publication in the Government Gazette. |
|
หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ |
Chapter 1 Computer-related offenses |
|
มาตรา 5
ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 5.
Any person illegally accessing a computer system for which a specific access prevention measure that is not intended for their own use is available shall be subject to imprisonment for no longer than six months or a fine of not more than ten thousand baht or both. |
|
มาตรา 6
ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 6.
Any person knowing of a measure to prevent access to a computer system specifically created by a third party illegally discloses that measure in a manner that is likely to cause damage to the third party, then they shall be subject to imprisonment for no longer than one year or a fine of not more than twenty thousand baht or both. |
|
มาตรา 7
ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 7.
Any person illegally accesses computer data, for which there is a specific access prevention measure not intended for their own use available, then he or she shall be subject to imprisonment for no longer than two years or a fine of not more than forty thousand baht or both. |
|
มาตรา 8
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 8.
Any person illegally commits any act by electronic means to eavesdrop a third party’s computer data in process of being sent in a computer system and not intended for the public interest or general people’s use shall be subject to imprisonment for no longer than three years or a fine of not more than sixty thousand baht or both. |
|
มาตรา 9
ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 9.
Any person illegally damages, destroys, corrects, changes or amends a third party’s computer data, either in whole or in part, shall be subject to imprisonment for no longer than five years or a fine of not more than one hundred thousand baht or both. |
|
มาตรา 10
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 10.
Any person illegally commits any act that causes the working of a third party’s computer system to be suspended, delayed, hindered or disrupted to the extent that the computer system fails to operate normally shall be subject to imprisonment for no longer than five years or a fine of not more than one hundred thousand baht or both. |
|
มาตรา 11
ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท |
Section 11.
Any person sending computer data or electronic mail to another person and covering up the source of such aforementioned data in a manner that disturbs the other person’s normal operation of their computer system shall be subject to a fine of not more than one hundred thousand baht. |
|
มาตรา 12
ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ถ้าการกระทำความผิดตาม (2) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี |
Section 12.
The perpetration of an offense under Section 9 or Section 10 that The commission of an offense under (2) that causes death to another person shall be subject to imprisonment from ten years up to twenty years. |
|
มาตรา 13
ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือมาตรา 11 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 13.
Any person sells or disseminates sets of instructions developed as a tool used in committing an offense under Section 5, Section 6, Section 7, Section 8, Section 9, Section 10 and Section 11 shall be subject to imprisonment for not more than one year or a fine of not more than twenty thousand baht, or both. |
|
มาตรา 14
ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 14.
Any person commits the following offenses shall be subject to imprisonment up to five years and a fine not exceeding one hundred thousand baht, or both: |
|
มาตรา 15
ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14 |
Section 15.
Any service provider who intentionally supports or consents to the commission of an offense under Section 14 within a computer system under their charge shall be subject to the same penalty as that imposed upon a person committing an offense under Section 14. |
|
มาตรา 16
ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย |
Section 16.
Any person imports into a publicly accessible computer system of computer data that will appear as an image of other person and the image has been created, edited, appended, or adapted by electronic means or whatsoever means, and by doing so it is likely to impair the reputation of such other person or to expose such other person to hatred or contempt, shall be subject to imprisonment not exceeding three years or a fine not exceeding sixty thousand baht, or both. If the commission of such act in paragraph one was made in good faith, the person shall not be guilty. An offense under paragraph one shall be a compoundable offense. If a party injured by an offense under paragraph one has died before filing a complaint, then their parents, spouse or children may file a complaint and shall be deemed to be the injured party. |
|
มาตรา 17
ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ |
Section 17.
Any person commits an offense against this Act outside the Kingdom and |
|
หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ |
Chapter 2 Competent Officials |
|
มาตรา 18
ภายใต้บังคับมาตรา 19 เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดและหาตัวผู้กระทำความผิด |
Section 18.
With the enforcement of Section 19 and for the benefit of an investigation, if there is reasonable cause to believe that there is the perpetration of an offense under this Act, the competent official shall have any of the following powers necessary for the acquisition of evidence to prove the wrongdoing and to identify the perpetrators: |
|
มาตรา 19
การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 18 (4) (5) (6) (7) และ (8) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ต้องใช้อำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิด รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและผู้กระทำความผิด เท่าที่สามารถจะระบุได้ ประกอบคำร้องด้วยในการพิจารณาคำร้องให้ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็ว เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาบันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 18 (4) (5) (6) (7) และ (8) มอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองดังกล่าวในทันทีที่กระทำได้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา 18 (4) (5) (6) (7) และ (8) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลที่มีเขตอำนาจภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ เพื่อเป็นหลักฐาน การทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 18 (4) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น การยึดหรืออายัดตามมาตรา 18 (8) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึดหรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐานแล้วพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน หนังสือแสดงการยึดหรืออายัดตามวรรคห้าให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง |
Section 19.
The power of authority of the competent official under Section 18 (4), (5), (6), (7) and (8), is given when that competent official files a petition to a Court with jurisdiction for a writ to allow the competent official to take action. However, the petition must identify a reasonable ground to believe that the offender is committing or going to commit an offense under the Act as well as the reason of requesting the authority, including the characteristics of the alleged offense, a description of the equipment used to commit the alleged offensive action and details of the offender, as much as this can be identified. The Court should adjudicate urgently such aforementioned petition. When the Court approves permission, and before taking any action according to the Court’s writ, the competent official shall submit a copy of the reasonable ground memorandum to show that an authorization under Section 18 (4), (5), (6), (7) and (8), must be employed against the owner or possessor of the computer system, as evidence thereof. If there is no owner of such computer thereby, the competent official should submit a copy of said memorandum as soon as possible. In order to take action under Section 18 (4), (5), (6), (7) and (8), the senior officer of the competent official shall submit a copy of the memorandum about the description and rationale of the operation to a Court with jurisdiction within forty eight (48) hours after the action has been taken as evidence thereof. When copying computer data under Section 18 (4), and given that it may be done only when there is a reasonable ground to believe that there is an offense against the Act, such action must not excessively interfere or obstruct the business operation of the computer data’s owner or possessor. Regarding seizure or attachment under Section 18 (8), a competent official must issue a letter of seizure or attachment to the person who owns or possesses that computer system as evidence. This is provided, however, that the seizure or attachment shall not last longer than thirty days. If seizure or attachment requires a longer time period, a petition shall be filed at a Court with jurisdiction for the extension of the seizure or attachment time period. The Court may allow only one or several time extensions, however altogether for no longer than sixty days. When that seizure or attachment is no longer necessary, or upon its expiry date, the competent official must immediately return the computer system that was seized or withdraw the attachment. The letter of seizure or attachment under paragraph five shall be in accordance with a Ministerial Regulation. |
|
มาตรา 20
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้ |
Section 20.
When the offense under this Act is to disseminate computer data which may compromise the security of the Kingdom as stipulated in Book II Title 1 or Title 1/1 of the Criminal Code, or that might be a breach to the public order or moral high ground of the people, the competent official with approval from the Minister may file a petition with supporting evidence to the Court of jurisdiction to ask the Court to issue a writ to suppress the dissemination of such computer data. When the Court issues a writ to suppress the dissemination of such computer data per paragraph one, the competent official may suppress the dissemination of the computer data themselves or instruct the service provider to suppress the dissemination of the computer data. |
|
มาตรา 21
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้ามจำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้ ทำลายหรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้ มีไว้ในครอบครอง หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตามวรรคหนึ่งหมายถึงชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมขัดข้อง หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าวข้างต้น ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา |
Section 21.
If a competent official found that any computer data contains undesirable sets of instructions, a competent official with the authority to prohibit the sale or dissemination of such, may instruct the person who owns or possesses the computer data to suspend the use of, destroy or correct the computer data therein, or to impose a condition with respect to the use, possession or dissemination of the undesirable sets of instructions. The undesirable sets of instructions under paragraph one shall mean to include sets of instructions that cause computer data, a computer system or other instruction sets to be damaged, destroyed, corrected, changed, added, interrupted or, fail to perform according to pre-determined instructions or otherwise as required by a relevant Ministerial Rule, with the exception of sets of instructions aimed at preventing or correcting the foregoing sets of instructions as required by a Minister and published in the Government Gazette. |
|
มาตรา 22
ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา 18 ให้แก่บุคคลใด ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการกระทำเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งหรือที่ได้รับอนุญาตจากศาล พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดฝ่าฝืนวรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 22.
A competent official shall not disclose or deliver computer data, computer traffic data or service users’ data acquired under Section 18 to any person. The provisions under paragraph one shall not apply to any actions performed for the benefit of lodging a lawsuit against a person who has committed an offense under this Act or for the benefit of lodging a lawsuit against a competent official on the grounds of their abuse of authority or for action taken according to a Court’s writ or permission. Any competent official who violates paragraph one must be subject to imprisonment for no longer than three years or a fine of not more than sixty thousand baht, or both. |
|
มาตรา 23
พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา 18 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 23.
Any competent official who commits an act of negligence that causes a third party to know of computer data, computer traffic data or a service user’s data acquired under Section 18 must be subject to imprisonment for no more than one year or a fine of not more than twenty thousand baht, or both. |
|
มาตรา 24
ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา 18 และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
Section 24.
Any person knowing of computer data, computer traffic data or a service user’s data acquired by a competent official under Section 18 and disclosing it to any person shall be subject to imprisonment for no longer than two years or a fine of not more than forty thousand baht, or both. |
|
มาตรา 25
ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น |
Section 25.
Data, computer data or computer traffic data that the competent official acquired under this Act shall be admissible as evidence under the provision of the Criminal Procedure Code or other relevant law related to the investigation, however, it must not be in the way of influencing, promising, deceiving or other wrongful ways. |
|
มาตรา 26
ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวันแต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการนับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท |
Section 26.
A service provider must store computer traffic data for at least ninety days from the date on which the data is input into a computer system. However, if necessary, a competent official may instruct a service provider to store data for a period of longer than ninety days but not exceeding one year on a special case by case basis or on a temporary basis. The service provider must keep the necessary information of the service user in order to be able to identify the service user from the beginning of the service provision, and such information must be kept for a further period not exceeding ninety days after the service agreement has been terminated. The types of service provider to whom the provisions under paragraph one shall apply and the timing of this application shall be established by a Minister and published in the Government Gazette. A service provider who fails to comply with this Section must be subject to a fine of not more than five hundred thousand baht. |
|
มาตรา 27
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง |
Section 27.
Any person fails to comply with the writ of Court or competent official under Section 18 or Section 20 or fails to comply with the Court’s writ under Section 21 shall be subject to a fine of not more than two hundred thousand baht and a further daily fine of not more than five thousand baht until the relevant corrective action has been taken. |
|
มาตรา 28
การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด |
Section 28.
Regarding the appointment of a competent official under this Act, the Minister shall appoint persons with knowledge of, and expertise in, computer systems and having the qualifications as required by the Minister. |
|
มาตรา 29
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจรับคำร้องทุกข์หรือรับคำกล่าวโทษ และมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ บรรดาที่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐมนตรีมีอำนาจร่วมกันกำหนดระเบียบเกี่ยวกับแนวทางและวิธีปฏิบัติในการดำเนินการตามวรรคสอง |
Section 29.
In performance of the duties under this Act, the competent official appointed by the Minister shall be an administrative officer or a senior police officer under the Criminal Procedure Code competent to receive a petition or accusation and be authorized to investigate only on an offense under this Act. In arresting, controlling, searching, investigating, and filing a lawsuit against a person who commits an offense under this Act, and for what is within the authority of an administrative officer or a senior police officer, such competent officer shall coordinate with the relevant investigating officer in charge to take action within their authorized duties. The Prime Minister is in charge of the Royal Thai Police Headquarters and with a Minister shall have a joint authority to establish a regulation with respect to the means and action-related procedures under paragraph two. |
|
มาตรา 30
ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา |
Section 30.
In the performance of duties, a competent official must produce an identity card to a relevant person. The competent official identity card shall be as per the form required by a Minister and published in the Government Gazette. |
|
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ |
Countersigned |
|
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญของการประกอบกิจการและการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใดๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใดๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่นในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ |
Remark:- The rationale for the issue of this Act as of today is that a computer system is essential to business operations and the human way of life, as such, if any person commits an act that disables the working of a computer system according to the pre-determined instructions or that causes a working error – a deviation from that required by the pre-determined instructions or that resorts to any means to illegally know of, correct or destroy a third party’s data contained in a computer system or that uses a computer system to disseminate false or pornographic computer data, then that act will damage and affect the country’s economy, society and security including people’s peace and good morals. Therefore, it is deemed appropriate to stipulate measures aimed at preventing and suppressing such acts. Hence the enactment of this Act. |