จากกรณี พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการกองบัญชาการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) กล่าวถึงแผนการตรวจสอบการสื่อสารของประชาชนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) ยูทูบ (YouTube) วอตซ์แอป (WhatsApp) และไลน์ (LINE) ซึ่ง พล.ต.ต.พิสิษฐ์กล่าวว่า ปอท.จะเลือกตรวจสอบข้อมูลการสื่อสารของบุคคลที่มีแนวโน้มจะกระทำการที่กระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย และอ้างว่าผู้ให้บริการ LINE ตอบรับยินดีให้ความร่วมมือ เครือข่ายพลเมืองเน็ตยืนยันว่า การติดต่อระหว่างบุคคลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นอยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 35, 36 และ 45 ที่ว่าด้วยสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยไม่ถูกเปิดเผย และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลไทยพยายามสอดส่องประชาชน เมื่อเดือนธันวาคม 2554 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้พูดถึงแผนการจัดซื้ออุปกรณ์ดักข้อมูล เพื่อดักข้อมูลที่อาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
จากแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีข้อกังวลและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1. ปอท.ต้องให้ความชัดเจนว่า การขอข้อมูลที่ ปอท.กล่าวถึงนั้น มีข้อมูลอะไรบ้าง
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 8 ปอท.ไม่มีสิทธิในการดักฟังการสื่อสารของประชาชน การดักฟังจะทำได้ต่อเมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสืบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และได้รับอนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา สำหรับคดีบางประเภทเท่านั้นเท่านั้น
เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีความสงสัยว่า การขอ “ตรวจสอบข้อมูลการสนทนา” ของปอท. นั้นหมายถึงการ ดักฟัง หรือ การขอบันทึกการสนทนา (chat log) หรือ ข้อมูลผู้ใช้ (user’s data)
ในกรณีที่เป็นการดักฟังนั้น เครือข่ายพลเมืองเน็ตเห็นว่า ปอท. ไม่มีสิทธิที่จะทำการดังกล่าว
แม้รัฐธรรมนูญไทยปี 2550 มาตรา 36 จะระบุว่า “การตรวจ การกัก หรือการเปิดเผยสิ่งสื่อสารที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน รวมทั้งการกระทําด้วยประการอื่นใดเพื่อให้ล่วงรู้ถึงข้อความในสิ่งสื่อสารทั้งหลายที่บุคคลมีติดต่อถึงกันจะกระทํามิได้” โดยมีข้อยกเว้นสำหรับเรื่องความมั่นคงและการรักษาศีลธรรมอันดี แต่ข้อยกเว้นดังกล่าวสามารถตีความได้กว้างขวาง การอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงจึงต้องมีคำอธิบายที่ละเอียดและชัดเจน การเปิดโอกาสให้เกิดการดักฟังนั้นยังเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิประชาชนในด้านอื่นด้วย ดังนั้นแม้จะมีการดักฟังซึ่งชอบด้วยกฎหมายก็ควรเป็นไปโดยระมัดระวังและใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
2. ผู้บริการการสื่อสารและเครือข่ายสังคมออนไลน์ ควรปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้ โดยเฉพาะสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายของไลน์ระบุข้อยกเว้นของการให้ข้อมูลแก่บุคคลที่สามไว้คือข้อหนึ่งคือ
“บริษัทจะไม่มอบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการให้กับบุคคลที่สาม ยกเว้นในกรณีที่บริษัทได้รับคำร้องขอความร่วมมือจากสถาบันของรัฐ รัฐบาลท้องถิ่น หรือบุคคล หรือผู้ประกอบการธุรกิจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ และการให้ผู้ใช้ยินยอมก่อนจะเป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ” (คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ)
ขณะเดียวกันก็ได้ระบุไว้ในหน้าความช่วยเหลือต่อคำถามที่ว่าบุคคลที่สามสามารถ “แอบดู” เนื้อหาของการสนทนาได้หรือไม่ว่า “ไม่ได้ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในการสนทนาไม่สามารถเห็นสิ่งที่คุณพิมพ์ได้ ไลน์ปลอดภัย”
ในประเทศไทย ไลน์เป็นที่นิยมมาก มีผู้ใช้ในประเทศไทยมากกว่าสิบห้าล้านคน เครือข่ายพลเมืองเน็ตเรียกร้องให้บริษัท Naver Japan ผู้ให้บริการไลน์ ปกป้องสิทธิและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวไทย และต้องไม่ให้ข้อมูลหรือบันทึกการสนทนาของผู้ใช้ต่อรัฐไทยโดยไม่ทำตามกระบวนการทางกฎหมาย
3. ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องดำเนินการตามที่ระบุในกฎหมาย และหยุดการ “ขอความร่วมมือ” อย่างไม่เป็นทางการจากผู้ให้บริการ
วัฒนธรรมการ “ขอความร่วมมือ” อย่างไม่เป็นทางการ ส่งผลเสียในทางปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากหลักฐานการขอความร่วมมือและข้อมูลที่ได้ อาจไม่ถูกจัดเก็บในสารบบ ทำให้ประชาชนยุ่งยากขึ้นในการใช้สิทธิขอข้อมูลตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐ เปิดโอกาสให้เกิดการละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล
กรณีของบริษัท Naver นั้น ผู้ให้บริการอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและไม่ได้หน้าที่ต้องตอบสนองต่อกฎหมายไทย ซึ่งปอท.อาจเลือกวิธีขอความร่วมมือ แทนการใช้คำสั่งศาล เครือข่ายพลเมืองเน็ตเห็นว่า เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ปอท.ต้องใช้กระบวนการอย่างเป็นทางการ และหยุดขอความร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ
4. ตำรวจและรัฐบาลไทย ต้องหยุดการกระทำที่ทำให้เกิดความกลัวในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต รวมทั้งหยุดการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างพร่ำเพรื่อ
เครือข่ายพลเมืองเน็ตมองว่า การะกระทำของรัฐบาล ทั้งการให้ข่าวว่าจะทำ หรือการกระทำจริงๆ ล้วนทำให้เกิดผลเสียต่อบรรยากาศโดยรวมของกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้ใช้เน็ตตกอยู่ในความกลัวและความไม่แน่ใจ
รัฐบาลควรหยุดการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างพร่ำเพื่อและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ดั้งเดิม จากสถิติจะเห็นได้ว่า คดีส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ แต่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทหรือการปล่อยข่าวลือบนอินเทอร์เน็ต ที่ล้วนมีกฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว
5. เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีข้อเสนอแนะในการรับมือกับข่าวลือซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือรัฐบาล
มีวิธีการอันเป็นสากลมากมายในการรับมือกับข่าวลือ โดยไม่ต้องใช้มาตราการอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพหรือทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความกลัว เช่น การชี้แจงข้อมูลตามความเป็นจริงต่อสาธารณะ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยควรเคารพความสามารถในการพิจารณาของประชาชน แทนที่จะใช้มาตราการสอดส่องที่จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิ
อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทางสังคมที่เราทุกคนอยู่ร่วมกัน ภาครัฐ ผู้ให้บริการ และพลเมืองเน็ตต้องมีบทบาทร่วมกันในการรักษาพื้นที่นี้เพื่อประโยชน์สาธารณะ บนพื้นฐานของการรักษาสิทธิพลเมืองและปกป้องสิทธิมนุษยชน การกระทำที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ไม่ปลอดภัย ไม่เป็นส่วนตัว จะส่งผลเสียทางเศรษฐกิจ และกระทบกิจวัตรประจำวันของผู้คนที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
เปิดเน็ต เปิดใจ
เครือข่ายพลเมืองเน็ต
13 สิงหาคม 2556
(ปรับปรุง 14 สิงหาคม 2556 12:00 ปรับปรุงถ้อยความเรื่องพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการให้ชัดเจนขึ้น)