เสนอแก้ พรบ.คอมฯ ชี้ละเมิดเสรีภาพ ปชช.

2009.05.02 02:17

เพื่อให้กฎหมายมีความเป็นกลางจริง หลังจากที่ผ่านมา ถูกรัฐบาลนำมาใช้เป็นเครื่องมือจัดการกลุ่มผู้ที่อยู่ตรงข้าม แต่กลับกระทบผู้ใช้เน็ตวงกว้าง ต้องเป็นเหยื่อจากการแสดงความคิดเห็น ขณะที่การปฏิบัติของ จนท.ยังเป็น 2 มาตรฐาน…

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (29 เม.ย. 2552) เครือข่ายพลเมืองเน็ตได้จัดเวทีเสวนา “วิพากษ์ผลกระทบจากกฎหมายและการเมืองต่อสิทธิมนุษยชนพลเมืองเน็ต” ที่ห้องประชุมสถาบันวิจัยสังคม ชั้น 4 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และตัวแทนกลุ่มสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น อาทิ นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต นายกานต์ ยืนยง สมาชิกเครือข่ายพลเมืองเน็ต และผู้อำนวยการ Siam intelligence Unit (SIU) นายสุเทพ วิไลเลิศ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) และนางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ

นางสาวสุภิญญา กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลังการบังคับใช้กฎหมาย พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีผู้ถูกดำเนินคดีโดยใช้กฎหมายฉบับนี้ไปแล้วจำนวน 5 ราย เนื่องจากมีความผิดฐานหมิ่นประมาท และหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ในจำนวนนี้มีทั้งที่ได้รับการประกันตัว และไม่ได้รับการประกันตัว โดยสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างผกระทบไปสู่สังคมผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และคนทำเว็บไซต์วงกว้าง ไม่ใช่แค่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง แต่เป็นความไม่ชัดเจนในตัวกฎหมาย และผู้ใช้กฎหมาย ทำให้การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับความผิดทางคอมพิวเตอร์ ที่บทลงโทษร้ายแรงกว่า เมื่อเทียบกับคดีหมิ่นประมาททั่วไปที่เป็นคดีแพ่ง

ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวต่อว่า นอกจาก พรบ.คอมฯ แล้วในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ ของกลุ่มคนเสื้อแดง ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งผลให้ภาครัฐมีเครื่องมือสำหรับปิดกั้นเว็บไซต์ ของฝ่ายที่คิดเห็นตรงข้ามรัฐบาลกว่า 60 เว็บไซต์ รวมถึงเคเบิ้ลทีวี และวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดง อีกทั้งการดำเนินคดียังเป็นไปในรูปแบบ 2 มาตรฐาน ระหว่างบุคคลทั่วไป และคนที่มีฐานะหรือมีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ทำให้ผู้ต้องหาจากความผิดตาม พรบ.คอมฯ จะกลายเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ใช้อินเทอร์เน็ต

นางสาวสุภิญญา กล่าวอีกว่า ส่วนตัวรู้สึกไม่มั่นใจกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลชุดนี้ ที่กำลังมุ่งหาทางแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง ด้วยการแก้ไขกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ เนื่องจากความขัดแย้งของกลุ่มคนที่มีความคิดต่างกัน 2 ข้าง อาจทำให้รัฐบาลเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ส่งผลให้เกิดการลิดรอนเสรีภาพของประชาชน ที่จะแสดงออกความคิดเห็นอย่างเสรี หากกฎหมายที่แก้ออกมาไม่มีความเป็นกลาง กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาล สุดท้ายจะไม่มีใครยอมรับ เพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ คนที่รับเคราะห์ คือ ประชาชนธรรมดา อย่างไรก็ตาม ยังฝากความหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีความตั้งใจ และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ เพื่อประชาชนจะไม่ตกเป็นเหยื่อของการใช้กฎหมาย เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง และกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล

ด้าน นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) กล่าวว่า จากการเสวนาฯ ครั้งนี้ สรุปได้ว่า ผลกระทบจากกฎหมายและการเมือง ต่อสิทธิมนุษยชน มาจากปัญหาการอ้างความมั่นคงของรัฐ จึงนำไปสู่การใช้อำนาจลิดรอนเสรีภาพของประชาชน แต่ความมั่นคงของรัฐนั้นไม่ใช่ความมั่นคงของประชาชน กฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ เป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ในการเลือกปฏิบัติกับผ่านที่อยู่ ตรงข้ามรัฐบาล ดังนั้น จึงมีข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณา ในการปรับปรุงกฎหมาย พรบ.คอมฯ ใหม่ เพื่อยกเลิกการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในมาตราที่ 14, 15 และ 16 ลดโทษการหมิ่นประมาทบนอินเทอร์เน็ตให้เท่ากับโทษหมิ่นประมาทของกฎหมายแพ่ง

เลขาธิการ ครส.กล่าวด้วยว่า นอกจากการแก้ไปปรับปรุงกฎหมายที่มีความทับซ้อนกันแล้ว ในด้านกระบวนการยุติธรรมจะต้องถูกแก้ไข ในการปฏิบัติกับผู้ต้องหาในคดีความผิดตาม พรบ.คอมฯ และกฎหมายแพ่งในความผิดหมิ่นประมาท หรือ หมิ่นสถาบันฯ ที่ไม่ได้ออกมาใช้เพื่อปกป้องประชาชน แต่เพื่อปกป้องการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งร่วมกันเร่งผลักดันกฎหมาย อื่นๆ เช่น พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาล ท้ายที่สุด คือ การปฏิรูปการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และกองทัพ ไม่ให้นำเอากฎหมายด้านความมั่นคงมาใช้ปิดกั้น การแสดงความคิดเห็นของประชาชนอีก

ที่มา: เสนอแก้ พรบ.คอมฯ ชี้ละเมิดเสรีภาพ ปชช., ไทยรัฐ, 30 เม.ย. 2552

Tags: , , , ,
%d bloggers like this: